เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ พ.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมเป็นความจริง เป็นความจริงที่เราแสวงหา แต่ความจริงตามโลกเป็นความจริงตามสมมุติ มันเป็นสาธารณะ คำว่า “สาธารณะ” ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะขวนขวาย

 

แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงในใจของเรานะ ดูทางโลกเขา เวลาชีววิทยา เขาศึกษาข้อมูลแมลงวัน แมลงวันเขาก็ศึกษาถึงข้อมูลของมันว่าความเป็นอยู่ของมันเป็นอย่างไร มันวางไข่ มันเป็นหนอน ถึงเวลาแล้วมันเป็นพาหะนำโรค

 

นักชีววิทยาเขาศึกษาถึงแมลงผึ้ง แมลงผึ้งมันตอมแต่เกสรดอกไม้ มันทำมา เวลาเขาอาศัยธรรมชาติ อาศัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทำอาหารในสมัยโบราณ ถ้าน้ำตาล เขาใช้น้ำผึ้ง แต่น้ำตาลมันเพิ่งมามีสมัยอุตสาหกรรมที่มันเจริญเท่านั้น นี่นักชีววิทยาเขาพิจารณาของเขา เขาวิเคราะห์วิจัยของเขา วิเคราะห์วิจัยในทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์เป็นความน่าเชื่อถือของเรา ถ้าความน่าเชื่อถือของเรา เราเชื่อแล้วเราใช้ชีวิตเพื่อความหลีกเร้นกับความเป็นโรคภัยไข้เจ็บ นี้เป็นทางวิทยาศาสตร์

 

แต่สัจธรรม สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิเคราะห์วิจัยในหัวใจของตน เห็นไหม ในหัวใจของตน ถ้าพญามาร กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำให้คนเหลวใหล มันทำให้คนได้รับความเดือดร้อน แต่ถ้ามันเป็นธรรมะๆ ธรรมะมันมาจากไหน ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามา ศึกษามาแล้วมันได้ประโยชน์อะไร มันได้ประโยชน์ก็ได้ประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ทางโลกนี่ไง

 

ทางโลก ประเพณีวัฒนธรรม กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ถ้าคนดีเขามีเครื่องหมายของเขา เขามีการกระทำของเขา ว่าความดีมันเป็นแบบนั้น ถ้าความดีเป็นแบบนั้น นี่ความดีแบบโลกๆ ที่ว่าจริงตามสมมุติๆ แต่ถ้าเป็นความจริงๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

นักวิทยาศาสตร์ชีววิทยาเขาศึกษาข้อมูลของเขา เขาพยายามค้นคว้าทำวิจัยของเขา การวิจัยของเขาเป็นการวิจัย เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ เราก็เชื่อถือๆ แต่เราเชื่อถือแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็วิเคราะห์วิจัยในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน เวลามันเกิดขึ้น เวลาทางวิทยาศาสตร์เขาวิจัยกันเรื่องยารักษาโรค เวลายารักษาโรคขึ้นมา เขาต้องทดสอบของเขา ทดสอบขึ้นมาแล้วมันมีคุณภาพหรือไม่มีคุณภาพ

 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ศึกษาค้นคว้ามาเอง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ สิ่งที่เป็นมรรค อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งวิถีในหัวใจที่เข้าไปชำระกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำวิจัยออกมาแล้วไง นี่ธรรมวิทยา เป็นวิทยาศาสตร์ทางพระพุทธศาสนา

 

ถ้าการกระทำมันกระทำ มันก็จะเกิดขึ้นมากับเราไง ที่เรามาวัดมาวากัน เรามาสร้างบุญกุศลของเรา บุญกุศลก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางแนวทางในการเข้าไปหาสัจธรรมอันนั้นไง ถ้าเข้าไปหาสัจธรรมอันนั้น มันละเอียดลึกซึ้งๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ”

 

คำว่า “จะสอนใครได้หนอ” มันบอกโดยให้เขาเข้าใจเองมันเป็นไปไม่ได้ แต่ปูพื้นฐานของคนมาให้มีหลักการขึ้นมาได้ เช่น ให้การเสียสละทาน ให้เสียสละความดีงาม ความเป็นประโยชน์กับโลก

 

ความเป็นประโยชน์กับโลก ทุกคนต้องการความดีทั้งนั้นน่ะ คนเราเกิดมาโดยสัญชาตญาณ ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่ตัวเองไม่เข้าใจว่าสิ่งใดเป็นความสุข ความทุกข์ที่แท้จริงไง แสวงหา ตะครุบเอาๆ ก็ตะครุบเอาได้แต่ความว่างเปล่าไง ความว่างเปล่าคือมันไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารไง เวลาจะเป็นแก่นสาร แก่นสารก็เป็นอย่างนี้

 

เวลาเขาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกว่า อารมณ์ความรู้สึกเชื่อถือไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกเชื่อถือไม่ได้

 

ก็อารมณ์ความรู้สึกอันนั้นน่ะ ถ้าไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอันนั้นมันจะย้อนเข้าไปสู่ใจได้อย่างไร เวลามันจะย้อนเข้าไปสู่ใจ ใจมันต้องมีสิ่งพาดพิง สิ่งที่เป็นนามธรรมมันสิ่งพาดพิงมันถึงแสดงตัวของมัน เวลามีสิ่งใดกระทบขึ้นมาแล้วมันก็แสดงตัวของมัน เวลามีความทุกข์ความยาก โอดโอยขึ้นมาๆ แล้วโอดโอยขึ้นมา เวลามันเจือจางไป แล้วมันเหลืออะไรล่ะ เหลืออะไรตกค้างอยู่ในหัวใจน่ะ ก็เหลือแต่ความจำไง สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วมันก็หายไปไง นี่มันเกิดดับ เกิดดับในหัวใจใช่ไหม

 

แล้วถ้าคุณงามความดี คุณงามความดีมันมาจากไหน คุณงามความดี คุณงามความดีก็ความดีมาจากเรานี่ไง ด้วยการเสียสละ ด้วยการกระทำของเรา มันมีอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมา ถ้ามันมีอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมา มันเห็นดีเห็นงามได้ มันมีสามัญสำนึกได้

 

คนเราถ้ามีความสำนึก มันขาดความสำนึก ขาดตัวตนของเรานี่ไง เชื่อเขาไปหมด ไปตามกระแสทั้งนั้น เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม กระต่ายตื่นตูมๆ เวลาต้นตาลมันตกใส่ ใบตาลน่ะ “ฟ้าผ่า ฟ้าผ่า” วิ่งไปๆ จนผู้มีสติ “ให้หยุดก่อน ฟ้ามันผ่า มันผ่าที่ไหน พาไปดูซิ” ไอ้กระต่ายก็ต้องพากลับไปดูที่ต้นเหตุ โอ้โฮ! ลูกตาลมันตกลงมาโดนใบตาล นี่มันโดดไปเลย “ฟ้าผ่า ฟ้าผ่า”

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีสามัญสำนึก คนเรามันมีสิ่งใด ผลประโยชน์ ทุกคนก็อยากได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ความอยากได้ของเราอยากได้ด้วยความสุจริตนะ เราทำหน้าที่การงานของเรา เราทำประโยชน์กับเรา นี่พูดถึงทางโลกนะ ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเป็นโดยธรรมชาติ โดยธรรมชาติสิ่งมีชีวิตต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัย ชีวิตดำรงได้อย่างไร แล้วชีวิตที่ดำรงไว้ ดำรงไว้เพื่อทำไม ดำรงไว้เพื่อค้นคว้าหาสัจจะความจริง ถ้ามันเป็นผู้มีปัญญานะ แล้วที่เขาดำรงไว้ ดำรงไว้ทำไม เวลาคนเกษียณแล้วอยู่บ้านหงอยเหงา ชีวิตมันคืออะไร แล้วมันจะทำอะไรต่อไป มันมีอะไรเป็นแก่นสาร

 

หัวใจไง หัวใจน่ะ ความรู้สึกอันนั้นเป็นแก่นสาร แล้วแก่นสารทำอย่างไรล่ะ

 

หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะเข้าไปหามันไง อยากได้เสือต้องเข้าถ้ำเสือ อยากได้คุณธรรมต้องเข้าถึงหัวใจของเรา แล้วเข้าถึงหัวใจของเรามันเข้าได้ยากมาก เข้าได้ยากมากเพราะอะไร เพราะธรรมชาติของมันส่งออก เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่า “ทวนกระแส”

 

ทวนกระแส ความรู้สึกนึกคิดทวนกระแสกลับเข้ามาในใจไง เวลาพุทโธๆ มันย้อนกลับเข้าไปสู่ใจของเรา ถ้าย้อนกลับไปสู่ใจของเรา นั่นแหละต้นเหตุ ต้นเหตุอันนี้สำคัญ นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิจัยมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมาประสบความสำเร็จแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็มีสติมีปัญญาทั้งนั้นน่ะ แล้วคนเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมามันไม่เชื่อใครง่ายๆ หรอก

 

เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาไปหาหลวงปู่มั่น คนที่จะไปหาหลวงปู่มั่น คนที่จะค้นหาความจริงมันต้องมีอำนาจวาสนาบารมีนะ มันต้องมีทิฏฐิมานะสูง ว่าอย่างนั้นเลย สุดท้ายแล้วไปเจอเหตุเจอผล เจอความจริงอันนั้นน่ะ มันยอมความจริง เพราะเราก็อยากแสวงหา แต่เราแสวงหาด้วยตัวเราเองไม่ได้ เราพยายามขวนขวายของเรา ขวนขวายได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าจะหาผู้ที่แนะนำสั่งสอน แล้วเราจะไว้ใจใครได้ มันเชื่อใจใครได้ เวลาเชื่อใจใครได้ ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงอย่างนั้นนะ

 

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลารื้อค้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เล็งญาณๆ นะ เวลาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เล็งญาณว่าคนที่มีอำนาจวาสนาที่สามารถพูดแล้วเข้าใจได้ แล้วอายุเขาสั้น เขาไม่มีโอกาส เอาคนนั้นก่อนๆ ไม่มีเวลาเลยล่ะ ไม่มีเวลา พระชนม์ชีพสั้นเกินไปที่จะทำประโยชน์ให้มากมายขนาดนี้ไง แต่เวลาทำไปแล้ว ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบันแล้วนะ คร่ำครวญ คร่ำครวญเลย เราก็ยังต้องการอาจารย์อยู่ ยังต้องการคนช่วยเหลืออยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะปรินิพพานไปแล้ว

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเวลาของท่าน นี่ทำวิจัยในใจขององสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมาเรียบร้อยแล้ว ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอต่อไป เธอไม่ต้องคร่ำครวญไป เพราะเธอได้ทำคุณงามความดีไว้มาก

 

คำว่า “ทำคุณงามความดี” นี่ไง เวลาเราจะบอกให้คนนี้รู้โดยบอกเขาให้เขาเข้าใจๆ ด้วยความปรารถนาดี เราก็เผยแผ่ธรรมๆ เอาอะไรไปเผยแผ่ เอากิเลสใช่ไหม เอาความเห็นของตนใช่ไหม แล้วความจริง เผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมเป็นอย่างไร

 

นี่ไง บอกว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานนท์ เธอทำคุณงามความดีไว้มาก แม้แต่อนาคตกาลมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรยไป ผู้ที่จะมาอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปก็จะไม่ได้ทำหน้าที่เหนือพระอานนท์ไปได้ ไม่มีใครเหนือเลย ฉะนั้น เธอทำคุณงามความดีไว้มาก อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น นี่อำนาจวาสนา อำนาจวาสนาที่ได้สร้างสม เธอทำคุณงามความดีไว้มาก คุณงามความดีนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาของเธอ มันเป็นบารมีของเธอ ต่อไปข้างหน้าเธอจะได้เป็นพระอรหันต์

 

เวลาพระอานนท์เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เวลาไปที่ไหน เวลาประชาชนเห็นพระอานนท์ ร้องไห้ ร้องไห้ เพราะแต่เดิมถ้าเห็นพระอานนท์ก็ต้องเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เห็นพระอานนท์แล้วระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่เห็นตัวตนไง แต่ก็ได้ธรรมและวินัยเป็นที่ชโลมในหัวใจไง มันไม่เห็น เห็นไหม แต่ถ้ามันเคยเห็นพระอานนท์ที่ไหนก็ต้องเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นั่น เวลาเห็นพระอานนท์เขาก็ระลึกถึงๆ ไง นี่เวลาทางโลกความผูกพันมันเป็นอย่างนั้นน่ะ

 

ความอาลัยอาวรณ์ สิ่งที่อาลัยอาวรณ์ ความผูกพัน ความดี มันก็อาลัยอาวรณ์ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นสิ่งที่เราระลึกถึงกันนะ แต่มันก็มีผลถึงความเจ็บช้ำน้ำใจ เวลาเจ็บปวดขึ้นมา เจ็บปวดขึ้นมาเราก็ต้องรักษา

 

นี่ไง พยาธิวิทยาเขาศึกษา แมลงวันมันดำรงชีพอย่างไร มันดำรงชีพเพราะอะไร เขาศึกษาแล้วด้วยเหตุด้วยผลของเขา แล้วมันมีเชื้อโรคอะไร มันเป็นพาหะนำโรคมา เห็นไหม แมลงผึ้ง แมลงผึ้งมันดำรงชีพของมันอย่างไร แล้วมันเป็นประโยชน์กับใครไหม มันผสมเกสร มันทำให้เรามีอาหาร มันทำอะไร แมลงผึ้งมันมีประโยชน์ มันมีคุณน่ะ สิ่งต่างๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็เป็นประโยชน์

 

นี่ก็เหมือนกัน ในใจของเราๆ ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำวิจัยไว้หมดแล้ว บอกไอ้นั่นเป็นกิเลสๆ ไอ้นั่นเป็นพิษเป็นภัย ถ้าเป็นพิษเป็นภัย เป็นพิษเป็นภัยมันอยู่ที่ไหนล่ะ เป็นพิษเป็นภัยไปขวนขวายมาจากข้างนอกหรือ

 

เขาเรียกผลกระทบไง เวลากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ทำให้ใจฟูขึ้นมา ไปกระทบสิ่งใดที่มันถูกใจมันก็พอใจ ไปกระทบสิ่งใดที่มันผิดใจมันก็กีดขวาง นี่ไง สิ่งที่มันกระทบๆ แล้วผลกระทบข้างในล่ะ

 

นี่ไง เวลาพระโปฐิละไปศึกษาธรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ลูกศิษย์ลูกหามหาศาลเลย ไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ”

 

นี่ไง ศึกษามา ศึกษามาเปล่าๆ ศึกษามาเปล่าไง เวลาด้วยอำนาจวาสนาบารมี หนีจากหมู่ไปๆ ไปถึงวัด พระอรหันต์ทั้งวัดเลย จนถึงสามเณรน้อย พระอรหันต์ทั้งวัดเพราะอะไร เพราะเขาประพฤติปฏิบัติมา เวลาไปหาเขา เวลาลงใจแล้ว ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือไว้แต่หัวใจ จับเหี้ยตัวนั้น เหี้ยตัวนั้นน่ะ นี่เวลามันเป็นความจริง ความจริงในใจขึ้นมา เวลาที่สัจธรรมความจริงมันเป็นความจริงอย่างนี้

 

นี่ไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา บริษัทบริวาร ๕๐๐ นะ ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่องจำได้หมดเลย สอนคนอื่นได้ทั้งนั้น สอนด้วยอะไร สอนด้วยธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วตัวเองล่ะ ตัวเองล่ะ ตัวเองได้อะไรขึ้นมา ถ้าตัวเองไม่ได้อะไรขึ้นมา เวลาศึกษา ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือหัวใจไว้ๆ ถ้าจับหัวใจได้

 

การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเขาต้องเอาใจปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติเขาต้องเอาใจวิเคราะห์วิจัยในกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน แล้ววิเคราะห์วิจัยด้วยอะไร เครื่องมือขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หมดแล้ว มีสติสัมปชัญญะในการกระทำนะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะในการกระทำนั้นเป็นความเพียร ถ้าขาดสติสัมปชัญญะนะ ไอ้ความเพียรนั้นสักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าทำมันก็ไม่ด้ผลสิ่งใดเลย เวลาว่าสักแต่ว่าๆ

 

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรมๆ ท่านบอกว่าสักแต่ว่ามันเป็นของมันโดยธรรมชาติของมัน ไอ้เราก็สักแต่ว่า นอนเป็นขอนไม้อยู่นั่นน่ะ สักแต่ว่า เดี๋ยวไฟป่ามามันเผาหมดนะ ไฟป่า ดูสิ เวลามัจจุราชมา มันเผาไม่เหลือ

 

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา เราต้องมีสติปัญญาของเรา แก้ไขของเรา ทำของเราให้มันขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงความจังขึ้นมา ถ้าความจริงความจังขึ้นมา ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว เราทำได้หรือไม่ได้ ถ้าเราทำได้ของเราก็เป็นสมบัติของเราไง ถ้าเป็นสมบัติของเรา เป็นสมบัติของเรา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันเป็นความสมควรเหมาะสมพอดี

 

แล้วถ้าเป็นความเหมาะสมพอดีแล้ว มันจะไปยุ่งกับใคร ถ้ามันไปยุ่งกับเขา แสดงว่ามันขาดแคลน แสดงว่าบกพร่อง แสดงว่ายังไม่เชื่อมั่นในตนเอง แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงแล้วจบนะ ความเหมาะสม ความพอดี มันพอดี ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ไง ธรรมทั้งหลายเวลาชี้เข้ามา ชี้เข้ามาที่หัวใจของสัตว์โลก ไอ้เราศึกษาแล้ว เผยแผ่ธรรมๆ

 

ศึกษาแล้วย้อนกลับมาที่เรา ถ้ามันเป็นจริง เป็นจริงขึ้นมา การเผยแผ่ที่ดีที่สุดคือการไม่ต้องเผยแผ่ การเผยแผ่ที่ดีที่สุดคือดำรงชีพ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาใครมาเห็น โอ้โฮ! กิริยานั้นใช้ได้

 

สิ่งที่เป็นจริง เป็นจริงอันนั้น เวลาเผยแผ่เผยแผ่ เผยแผ่ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงมันก็สมควร แต่ถ้ามันไม่สมควร มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็มีผลบวกและผลลบทั้งนั้นน่ะ

 

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ต้องเอาหัวใจของเราให้ได้ก่อน เอาความจริงขึ้นมาในใจอันนี้ให้ได้ก่อน ถ้าความจริงอันนี้ขึ้นมาได้แล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านเผยแผ่ เวลาไปเทศน์ได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะอีก ๕๔ สุดท้ายแล้วเป็น ๖๐ องค์ ๖๑ องค์รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก”

 

บ่วงที่เป็นโลกคือชื่อเสียง เกียรติศัพท์เกียรติคุณ เครื่องลาภสักการะต่างๆ บ่วงที่เป็นโลก

 

บ่วงที่เป็นทิพย์ ทิพย์สมบัติทั้งหลาย

 

“เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์”

 

พ้นจากบ่วง พอพ้นจากบ่วงแล้วจบ ทำสิ่งใดก็ได้เพราะมันพ้นแล้ว มันไม่ติดข้องสิ่งใดทั้งสิ้น ถ้ามันติดข้องมันก็โลกธรรม ๘ ติฉินนินทา เวลาพูดสิ่งใดแล้ว หลวงตาท่านพูดประจำ ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนแล้วค่อยเทศน์ เพราะกลัวเทศน์แล้วไปกระทบกระเทือนใจเขา กระทบกระเทือนใจเขาคือกระทบกิเลส เพราะกิเลสมันอยู่ในใจของคน

 

เวลาไปกระทบกิเลสขึ้นมามันไม่ยอม แต่ไปเชิดชูนะ เจริญพรๆ ทั้งวัน มันพอใจ แต่ถ้าตีหัวมันน่ะ มันดิ้น แล้วทำไม่ได้ ถ้าไม่พ้นจากบ่วงเป็นโลกและเป็นทิพย์ มันไปถนอมรักษากันไว้นั่นน่ะ

 

ถ้าเป็นจริงๆ ฟาดหัวกิเลสนั่นน่ะ กระทบหัวใจของคนนั่นแหละ กระทบทิฏฐิมานะในใจนั่นน่ะ กิเลสมันอยู่ที่นั่น ถ้ากิเลสมันอยู่ที่นั่น มันเป็นความจริงที่นั่น ถ้าเป็นความจริงที่นั่น ถ้าพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ ทำได้ เผยแผ่ธรรมโดยสัจจะความจริง ถ้าไม่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ มันก็ไปโอ้โลมปฏิโลมกันอยู่นั่นน่ะ เจริญพรอยู่นั่นน่ะ มันไม่จบไม่สิ้นไง นั้นเป็นเรื่องของสังคม

 

เรื่องของเรา เราศึกษา เราดู เห็นไหม ดูหนังดูละครแล้วย้อนมาดูตัวตนของเรา ดูถึงเรื่องโลกสมมุติ มันเป็นความจริง จริงตามสมมุตินะ มันมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ กระแสสังคมมันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรคงที่ทั้งสิ้น มันจะพัฒนาให้ดีขึ้นหรือพัฒนาให้เสื่อมลง

 

แต่ถ้าเราพิจารณาของเรา มันเป็นสัจจะความจริง แล้วใจเราล่ะ แล้วโอกาสของเราล่ะ แล้วการกระทำของเราล่ะ แล้วเราทำได้จริงหรือไม่จริงล่ะ มีครูบาอาจารย์คอยกรองให้เรานะ ถ้าครูบาอาจารย์คอยกรองให้เรา มันไม่เสียเวลา ถ้ามันเป็นของเราเอง แม้แต่แก้ใจของตนน่ะ เป็นสิบๆ ปียังแก้ไม่ได้เลย แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ ผลัวะ! จบนะ ถ้ามันเชื่อมันฟัง มันเป็นไปได้ นี้เป็นโอกาสของเรา

 

เราต้องย้อนกลับมา ชีวิตนี้สั้นนัก มัจจุราชรอเราอยู่ข้างหน้า เดี๋ยวเราต้องตายทั้งหมด ตายแล้วมีสิ่งใดเป็นสมบัติของเราบ้าง ถ้าเป็นสมบัติของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันมั่นคงกลางหัวใจ ไม่มีใครมาแย่งชิงได้ ไม่มีเปรตผีพญามารตนใดจะมารุกรานได้ มันพอของมันอยู่ในใจดวงนี้ ใจดวงนี้ที่มันทุกข์มันยากนี่แหละ ที่มันทุกข์ยากแสนเข็ญนี่ มันดีได้ ดีได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติ เอวัง